สวัสดีค่ะ พอดีเพิ่งผ่านสมรภูมิแห่งการเดินอย่างทรหดอดทนมาค่ะ เลยอดที่จะเล่าสู่กันฟังไม่ได้ เป็นการตัดสินใจ ที่ มนุษย์ป้า ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้ทำ นั่นคือการขึ้นภูกระดึงค่ะ เมื่อตัดสินใจได้ ใจน่ะพร้อมอยู่แล้ว กายก็ต้องพร้อมด้วย ( คิดเองเออเอง) ที่สำคัญ คือ เงิน ก็ต้องพร้อมด้วยค่ะ พอดีป้าเป็นชาวเกาะ เกาะสามีกินไปวันๆอิๆๆ ขอขอบคุณสามีผู้สนับสนุนหลัก อย่างเป็นทางการด้วยจ้า555 เนื่องจากรู้ตัวดีว่า คงไม่มีปัญญา พาร่างกายอันอวบอ้วน ขึ้นเขาไปพร้อมกับสัมภาระเป็นแน่แท้ ดังนั้น นอกจากค่ากิน....ค่านู่นค่านี่แล้ว ก็ต้องเตรียมไว้ สำหรับจ่ายค่าลูกหาบด้วย ในราคากก. ละ 30 บาทจ้า งานนี้ป้าจ่ายค่าลูกหาบ สัมภาระของพวกเราสี่คน ขึ้น-ลง เขาไปเป็นจำนวนเงิน ประมาณ 1,600 บาทค่ะ
เหตุผลหนึ่ง ที่ตัดสินไปอย่างไม่ลังเลก็เนื่องจาก ไปกันทั้งครอบครัว มีสามี และลูกสาวทั้งสองคน ระหว่างทางคาดว่ามนุษย์ป้า ต้องมีคนดูแลอย่างแน่นอน ซึ่งก็จริงอย่างที่คิด ลูกสาวบอกว่า ต้องดูดีๆเลย เดี๋ยวไม่มีใครทำกับข้าวให้กิน! ไม่รู้ห่วงแม่หรือห่วงกินแฮะ!
เอาฤกษ์เอาชัยด้วยป้ายนี้ก่อน เพิ่มความฮึกเหิมค่ะ
ป้าโทรจองเต๊นท์ของร้านค้าบนอุทยาน เป็นเต๊นท์ที่นอนได้สองคน( ความจริงนอนสามคนได้สบาย เพราะกว้างมาก) จองไว้สองหลังค่ะ ค่าเช่าหลังละ 200บาท/คืน มีผ้ารองนอนกับหมอนให้ด้วย ส่วนผ้าห่มนวม ต้องเช่าคืนละ 50 บาท/ผืน ข้างบนอากาศเย็นมาก ตอนกลางคืน น่าจะประมาณ 10-12 องศา
ก่อนไปป้าศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับ "ภูกระดึง "เยอะมาก ตื่นเต้นเพราะเป็นครั้งแรก หวาดหวั่น กลัวขึ้นไม่ไหว แล้วจะเป็นภาระของลูกๆและสามีด้วย แต่พอได้ขึ้นไปจริงๆ ผิดคาดค่ะ เพราะระหว่างทาง นอกจากหนุ่ม-สาว วัยรุ่น วัยทำงาน นักเรียน นักศึกษาแล้ว เราจะเจอคนทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กๆ ที่ยังใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปอยู่ ผู้สูงวัย ที่ผ่านวัยเกษียณมาแล้ว มหัศจรรย์อันซีนจริงๆ
เราจะไม่ลงรายละเอียดขั้นตอนต่างๆ ก่อนขึ้นไปนะคะ เพราะว่า มีคนลงไว้เยอะแล้ว และสว. จำได้ไม่หมดค่ะ เกรงว่าจะให้ข้อมูลผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปล่ะก็แย่เลย...หุๆๆ
พวกเราไปไหว้ศาลพ่อปู่ภูกระดึงเสร็จแล้ว ก็ไปเลือกไม้เท้า เอาให้เหมาะกับความสูงของเรา แล้วก็ขนาดต้องจับถนัดมือด้วยค่ะ เพราะมันจะอยู่คู่กับเรา ทั้งขึ้นและลงภู ซึ่งช่วยได้มากเลยทีเดียว เริ่มขึ้นตอนประมาณเก้าโมงครึ่งค่ะ

พร้อมแล้ว...ลุยเลยค่ะ หยุดถ่ายรูปทุกซำที่ผ่าน ไม่ให้พลาดแม้แต่จุดเดียว ช่วงแรกเริ่มก็เจองานยากเลยค่ะ กว่าจะถึงซำแรก หอบกันไม่รู้กี่แฮ่ก เนื่องจากทางเดินชัน แล้วอากาศก็ร้อนมาก เพราะช่วงนี้ เป็นป่าโปร่งๆมีแต่ต้นไผ่ แต่ไม่ต้องกลัวค่ะ เพราะพอเราขึ้นไปถึงซำแฮก มีของขายให้เราเลือกซื้อกินหลายอย่างเหมือนกัน ป้าเลือกซื้อแตงโมค่ะ อร่อยและชื่นใจจริงๆ
ค่อยๆขึ้นไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักค่ะ อย่าฝืนเป็นอันขาด ใครไปไวก็ให้เค้าแซงไปก่อน ส่วนตัวป้าหัวใจเต้นเป็นจังหวะร็อคเมื่อไหร่ หยุดพักทันทีแบบไม่สนโลกค่ะ พอเปลี่ยนเป็นจังหวะสโลว์ เมื่อไหร่ ค่อยไปต่อ ระหว่างทาง เราจะเจอลูกหาบเป็นระยะๆ ทั้งขึ้นและลง ต้องระวังหลบหลีกทางให้เค้าดีๆด้วยนะจ๊ะ ผ่านซำนู้นซำนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงซำสุดท้าย คือซำแคร่ เราหยุดเพิ่มพลังงานด้วย ไข่ทรงเครื่อง กับมันต้มค่ะ คุณลุงคนขายบอกว่า หลังจากนี้ ทางจะชันหน่อย ให้ก้มหน้าก้มตาเดินไป เดี๋ยวก็ถึงหลังแป....แฮ่ๆ ช่วงนี้เราจะผ่านบันไดเหล็ก

ซึ่งบางที่จะชันมากๆ ต้องระวังให้ดีค่ะ ช่วงสุดท้ายนี้ขึ้นอย่างเดียว ดูเหมือนจะไม่มีทางราบเลย แต่ดีหน่อย ตรงช่วงนี้เป็นป่าดิบเขา อากาศค่อนข้างเย็น นับไปนับมาช่วงนี้จะมีบันไดเหล็กเป็นสิบที่( ถ้าป้านับไม่ผิดนะคะ)
ในที่สุดเราก็ขึ้นไปถึงหลังแป ตอนบ่ายสองโมงค่ะ ใช้เวลาไปสี่ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งเป็นที่น่าพอใจสำหรับการขันครั้งแรกของพวกเรา เชื่อว่าสิ่งแรกที่คนส่วนใหญทำ เมื่อขึ้นไปถึงหลังแปก็คือ.....
ร้องเย้ๆๆๆล้านรอบ ผ่านมาถึงหลังแปได้ ระยะทางจากนี้ไปที่วังกวางสามกิโลกว่า ก็ไม่ใช่ปัญหาแล้วค่ะ เพราะเป็นทางราบตลอด ตามภาพเลยค่ะ

ไปถึงศูนย์ตรงไปร้านค้าที่เราโทรฯ จองเต๊นท์ไว้ ปรากฏว่าเค้ากางไว้ให้เรียบร้อย อุ่นใจได้ที่ซุกหัวนอนแล้ว ก็จัดการหาของกินค่ะ ระหว่างรอของจากลูกหาบ ที่ยังมาไม่ถึง กับข้าวบนภูอร่อยทุกอย่าง( หรือจะเป็นปกติของคนอ้วน ที่กินอะไรก็อร่อย?) ข้าวราดแกงอย่างเดียว 60 บาท ถ้าสองอย่างก็ 70 บาท สุกี้น้ำชามละ60บาท กาแฟแก้วละ 25 บาท ส่วนน้ำแข็งแก้วละ10 บาทจ้า น้ำขวดเล็ก30 บาท ป้าเลยซื้อเป็นแกลลอน 180 บาท คุ้มกว่ากันเยอะ
หลังจากจ่ายตังค์ค่าสัมภาระ และรับของเรียบร้อยแล้วก็ จัดการอาบน้ำอาบท่า ช่วงนี้น้องกวางเริ่มออกมาให้ยลโฉมแล้ว ตัวใหญ่มากๆ มีหลายตัวด้วย ช่วงที่ป้าไปอาบน้ำ เห็นหมูป่าด้วย ต่างคนต่างตกใจ หมูป่าเห็นหมูบ้านอย่างป้า วิ่งหนีกับป่าราบเลย 555 วิ่งไวมากด้วย
ตอนกลางคืนแอบไปเพิ่มความอ้วน ด้วยโจ๊กร้อนๆ ชามละ 70 บาท แม่ค้าบอกว่า ตักเอาเองเลย แค่ไหนก็ได้ ให้เราอิ่ม แถมมีเครื่องเคียง ให้เลือกเติมตั้งหลายอย่าง เช่น กุนเชียง,หมูสับ,ไข่เค็มที่ตัดเป็นชิ้นๆ,ไช่ลวกกับไข่เยี่ยวม้าเป็นฟองๆ,กระเที่ยมเจียวกับกากหมู ฯลฯ ใส่กี่อย่างก็ได้...แบบนี้ก็ได้เหรอ? ป้าเลือกใส่หมูสับกับไข่ลวกค่ะ
เช้าวันรุ่งขึ้น ถ้าใครจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ต้องตื่นแต่เช้า แล้วไปรวมตัวกันที่ศูนย์ ตอนตีห้า ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่พาไป เพื่อความปลอดภัย พวกเราไม่อยากตื่นเช้าก็เลยไม่ได้ไปค่ะ ก็ตื่นกันประมาณหกโมง จัดการทำธุระส่วนตัวเสร็จ หาข้าวกิน แล้วก็เตรียมตะลุยต่อ เราซื้อข้าวเหนียวกับหมูทอด แล้วก็กุนเชียงทอด เอาไว้กินกลางทางเผื่อหิวด้วยค่ะ ทุกอย่างราคาถุงละ 30 บาท น้ำคนละขวด
เริ่มต้นเดินออกจากลานกางเต๊นท์หลังบ้านพักนักท่องเที่ยวด้านซ้าย ก็เจอต้นเมเปิ้ลต้นใหญ่ ใบสีแดงสด สวยงามมากๆ

หลังจากนั้นก็ไปไหว้องค์พระพุทธเมตตา ก่อนตรงไปที่น้ำตกถ้ำใหญ่ เพื่อตามหาใบเมเปิ้ล ที่ร่วงละลานตา เป็นสีแดงตัดกับสีเขียวของใบเฟิร์น
และต้นมอสสีเขียวๆ สวยงามมากค่ะ

ออกจากบริเวณถ้ำใหญ่ก็เดินไปตามทาง ตรงไปยังทุ่งหญ้าสะวันนา และสระอโนดาตกันค่ะ

ต่อด้วยผาหล่มสักจ้า

แล้วก็ผาหัวเต่า,ผาแดง,ผาเหยียบเมฆ,ผานาน้อย,ผาจำศีลแล้วก็จบที่ผาหมากดูกเพือรอดูพระอาทิตย์ตกค่ะ


เดินจริงเดินจัง ผ่านทุกผา เป็นระยะทาง ยี่สิบสองกิโลกว่าๆ ระหว่างทาง ไม่ต้องกลัวว่าจะหิวนะคะ เพราะตามผาบางแห่งมีของกินขายด้วยนะคะ จุดแรกที่ผาหล่มสัก ที่นี่มีน้ำแข็งใส ถ้วยละ 30 บาท ตักเอง ไสเอง ใส่อะไรก็ได้ตามใจตัวเองด้วยนาจ๊ะ มีทั้งวัน,ลูกชิต,ขนมปังฯลฯ

แต่ถ้าใครไม่อยากเดิน ทางอุทยานมีทางเลือกให้ค่ะ โดยมีจักรยานให้เช่า สนนราคาก็450บาท/คัน/1วัน ของป้างบน้อยเลยต้องค่อยๆเดินค่ะ อิๆๆ แต่ลึกๆแล้ว ที่อยากเดินมากกว่า เนื่องจากคิดว่า น่าจะได้เจอดอกไม้ป่าตามข้างทาง ซึ่งก็ไม่ผิดหวังค่ะ เจอดอกไม้สวยๆหลายอย่าง โดยเฉพาะ ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงเจอเยอะมากเลยค่ะ แต่ภาพอาจจะไม่ชัด เพราะบางทีสว. ก็ใช้โทรศัพท์ถ่ายน่ะค่ะ



ก่อนกลับ จะบอกว่า ถ้าเราต้องการจ้างลูกหาบ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ล่วงหน้าก่อนหนึ่งวันนะคะ โดยกรอกชื่อ เวลาที่เราจะลง แล้วก็นน. ของคร่าวๆ พอรุ่งเช้า ถ้าจะให้ดี ต้องรีบเก็บของรวบรวมไปชั่งนน. ก่อนค่อยมาหาข้าวกินค่ะ เวลาลงไปถึงข้างล่าง จะได้ไม่ต้องรอนาน เพราะลูกหาบใช้เวลาลงนานกว่าเรา ซึ่งเดินตัวเบา ไปไวกว่าอยู่แล้วค่ะ
จบทริป ของครอบครัวขาลุย ด้วยภาพนี้ก็แล้วกันนะคะ

เถลไถล เขียนมากเขียนมาย เพลินไปหน่อย ไม่งั้นมันไม่จบค่ะ ไม่อยากติดค้างอยู่บนเขาจ้า....555 ขาดตกบกพร่อง ผิดพลาดประการใด ให้อภัยสว.ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
" ภูกระดึง " ที่มนุษย์ป้าตัดสินใจถ่อสังขารขึ้นไปเที่ยว
เหตุผลหนึ่ง ที่ตัดสินไปอย่างไม่ลังเลก็เนื่องจาก ไปกันทั้งครอบครัว มีสามี และลูกสาวทั้งสองคน ระหว่างทางคาดว่ามนุษย์ป้า ต้องมีคนดูแลอย่างแน่นอน ซึ่งก็จริงอย่างที่คิด ลูกสาวบอกว่า ต้องดูดีๆเลย เดี๋ยวไม่มีใครทำกับข้าวให้กิน! ไม่รู้ห่วงแม่หรือห่วงกินแฮะ!
เอาฤกษ์เอาชัยด้วยป้ายนี้ก่อน เพิ่มความฮึกเหิมค่ะ
ป้าโทรจองเต๊นท์ของร้านค้าบนอุทยาน เป็นเต๊นท์ที่นอนได้สองคน( ความจริงนอนสามคนได้สบาย เพราะกว้างมาก) จองไว้สองหลังค่ะ ค่าเช่าหลังละ 200บาท/คืน มีผ้ารองนอนกับหมอนให้ด้วย ส่วนผ้าห่มนวม ต้องเช่าคืนละ 50 บาท/ผืน ข้างบนอากาศเย็นมาก ตอนกลางคืน น่าจะประมาณ 10-12 องศา
ก่อนไปป้าศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับ "ภูกระดึง "เยอะมาก ตื่นเต้นเพราะเป็นครั้งแรก หวาดหวั่น กลัวขึ้นไม่ไหว แล้วจะเป็นภาระของลูกๆและสามีด้วย แต่พอได้ขึ้นไปจริงๆ ผิดคาดค่ะ เพราะระหว่างทาง นอกจากหนุ่ม-สาว วัยรุ่น วัยทำงาน นักเรียน นักศึกษาแล้ว เราจะเจอคนทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กๆ ที่ยังใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปอยู่ ผู้สูงวัย ที่ผ่านวัยเกษียณมาแล้ว มหัศจรรย์อันซีนจริงๆ
เราจะไม่ลงรายละเอียดขั้นตอนต่างๆ ก่อนขึ้นไปนะคะ เพราะว่า มีคนลงไว้เยอะแล้ว และสว. จำได้ไม่หมดค่ะ เกรงว่าจะให้ข้อมูลผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปล่ะก็แย่เลย...หุๆๆ
พวกเราไปไหว้ศาลพ่อปู่ภูกระดึงเสร็จแล้ว ก็ไปเลือกไม้เท้า เอาให้เหมาะกับความสูงของเรา แล้วก็ขนาดต้องจับถนัดมือด้วยค่ะ เพราะมันจะอยู่คู่กับเรา ทั้งขึ้นและลงภู ซึ่งช่วยได้มากเลยทีเดียว เริ่มขึ้นตอนประมาณเก้าโมงครึ่งค่ะ
ค่อยๆขึ้นไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักค่ะ อย่าฝืนเป็นอันขาด ใครไปไวก็ให้เค้าแซงไปก่อน ส่วนตัวป้าหัวใจเต้นเป็นจังหวะร็อคเมื่อไหร่ หยุดพักทันทีแบบไม่สนโลกค่ะ พอเปลี่ยนเป็นจังหวะสโลว์ เมื่อไหร่ ค่อยไปต่อ ระหว่างทาง เราจะเจอลูกหาบเป็นระยะๆ ทั้งขึ้นและลง ต้องระวังหลบหลีกทางให้เค้าดีๆด้วยนะจ๊ะ ผ่านซำนู้นซำนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงซำสุดท้าย คือซำแคร่ เราหยุดเพิ่มพลังงานด้วย ไข่ทรงเครื่อง กับมันต้มค่ะ คุณลุงคนขายบอกว่า หลังจากนี้ ทางจะชันหน่อย ให้ก้มหน้าก้มตาเดินไป เดี๋ยวก็ถึงหลังแป....แฮ่ๆ ช่วงนี้เราจะผ่านบันไดเหล็ก
ซึ่งบางที่จะชันมากๆ ต้องระวังให้ดีค่ะ ช่วงสุดท้ายนี้ขึ้นอย่างเดียว ดูเหมือนจะไม่มีทางราบเลย แต่ดีหน่อย ตรงช่วงนี้เป็นป่าดิบเขา อากาศค่อนข้างเย็น นับไปนับมาช่วงนี้จะมีบันไดเหล็กเป็นสิบที่( ถ้าป้านับไม่ผิดนะคะ)
ในที่สุดเราก็ขึ้นไปถึงหลังแป ตอนบ่ายสองโมงค่ะ ใช้เวลาไปสี่ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งเป็นที่น่าพอใจสำหรับการขันครั้งแรกของพวกเรา เชื่อว่าสิ่งแรกที่คนส่วนใหญทำ เมื่อขึ้นไปถึงหลังแปก็คือ.....
ร้องเย้ๆๆๆล้านรอบ ผ่านมาถึงหลังแปได้ ระยะทางจากนี้ไปที่วังกวางสามกิโลกว่า ก็ไม่ใช่ปัญหาแล้วค่ะ เพราะเป็นทางราบตลอด ตามภาพเลยค่ะ
หลังจากจ่ายตังค์ค่าสัมภาระ และรับของเรียบร้อยแล้วก็ จัดการอาบน้ำอาบท่า ช่วงนี้น้องกวางเริ่มออกมาให้ยลโฉมแล้ว ตัวใหญ่มากๆ มีหลายตัวด้วย ช่วงที่ป้าไปอาบน้ำ เห็นหมูป่าด้วย ต่างคนต่างตกใจ หมูป่าเห็นหมูบ้านอย่างป้า วิ่งหนีกับป่าราบเลย 555 วิ่งไวมากด้วย
ตอนกลางคืนแอบไปเพิ่มความอ้วน ด้วยโจ๊กร้อนๆ ชามละ 70 บาท แม่ค้าบอกว่า ตักเอาเองเลย แค่ไหนก็ได้ ให้เราอิ่ม แถมมีเครื่องเคียง ให้เลือกเติมตั้งหลายอย่าง เช่น กุนเชียง,หมูสับ,ไข่เค็มที่ตัดเป็นชิ้นๆ,ไช่ลวกกับไข่เยี่ยวม้าเป็นฟองๆ,กระเที่ยมเจียวกับกากหมู ฯลฯ ใส่กี่อย่างก็ได้...แบบนี้ก็ได้เหรอ? ป้าเลือกใส่หมูสับกับไข่ลวกค่ะ
เช้าวันรุ่งขึ้น ถ้าใครจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ต้องตื่นแต่เช้า แล้วไปรวมตัวกันที่ศูนย์ ตอนตีห้า ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่พาไป เพื่อความปลอดภัย พวกเราไม่อยากตื่นเช้าก็เลยไม่ได้ไปค่ะ ก็ตื่นกันประมาณหกโมง จัดการทำธุระส่วนตัวเสร็จ หาข้าวกิน แล้วก็เตรียมตะลุยต่อ เราซื้อข้าวเหนียวกับหมูทอด แล้วก็กุนเชียงทอด เอาไว้กินกลางทางเผื่อหิวด้วยค่ะ ทุกอย่างราคาถุงละ 30 บาท น้ำคนละขวด
เริ่มต้นเดินออกจากลานกางเต๊นท์หลังบ้านพักนักท่องเที่ยวด้านซ้าย ก็เจอต้นเมเปิ้ลต้นใหญ่ ใบสีแดงสด สวยงามมากๆ
และต้นมอสสีเขียวๆ สวยงามมากค่ะ
จบทริป ของครอบครัวขาลุย ด้วยภาพนี้ก็แล้วกันนะคะ